ต่างวัย ต่างความคิด...สำคัญที่สุดคือการปรับตัวเข้าหากัน
ทุกวันนี้ การใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยี ยิ่งเทคโนโลยีมีความก้าวหน้าเท่าไหร่ การใช้ชีวิตประจำวันของเราก็ยิ่งต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ไม่มีใครสามารถที่จะปฏิเสธได้ว่า เทคโนโลยีได้ก้าวเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของเรามากแค่ไหน
และแน่นอนว่าเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมาในยุคสมัยที่มีความพร้อมทางเทคโนโลยี จะมีการใช้ชีวิต และวิถีชีวิตที่ต่างไปจากคนรุ่นก่อนๆ ซึ่งสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความคิดของเด็กสมัยนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ไม่มีหน่วยงานไหนที่คนในองค์กรจะอยู่ในวัยเดียวกันทั้งหมด ทุกองค์กรต่างมีคนหลากหลายวัย หลากหลายความคิดเข้ามาทำงานร่วมกัน ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้องค์กรพัฒนาไปได้ นอกจากต้องอาศัยศักยภาพของบุคลากรแล้ว สิ่งจำเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะขาดไม่ได้เลยคือ "การปรับตัวเข้าหากัน"
เมื่อต่างคนต่างปรับตัวเข้าหากัน พยายามเข้าใจและยอมรับในความคิดที่แตกต่างของผู้อื่น โดยไม่เลือกวัย เพราะอย่าลืมว่า เด็กบางคนแม้จะอายุน้อยกว่าเรา แต่อาจมีความสามารถมากกว่าเราก็เป็นได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า คนรุ่นเก่าจะสู้คนรุ่นใหม่ไม่ได้ เพียงแต่ว่ามุมมองต่อการทำงาน และรูปแบบการใช้ชีวิตที่ต่างกัน ก็อาจทำให้คนรุ่นใหม่มีไอเดียที่แตกต่างออกไปจากกรอบความคิดเดิมๆ ที่คนรุ่นเก่าอาจมองไม่เห็น แต่สิ่งที่คนรุ่นใหม่ขาดอาจเป็นเรื่องความละเอียดอ่อนในการทำงาน และความอดทน ซึ่งอาจน้อยกว่า...
คงจะดีไม่น้อยหากองค์กรใดสามารถทำให้คนต่างรุ่น ต่างวัย ได้แชร์ประสบการณ์ และยอมรับในความต่างของกันและกันได้
หากองค์กรใดสามารถทำได้สำเร็จ เมื่อนั้น "ความสมัครสมานสามัคคี" และ "ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน" ย่อมเกิดขึ้น และนำพาให้องค์กรนั้นเติบโตและก้าวหน้าได้อย่างมั่นคงแน่นอน !!!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น